วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2554


อาการท้องผูกมักพบบ่อยในผู้สูงอายุ เนื่องจากระบบการย่อยอาหารรวมถึงระบบทางเดินปัสสาวะ และไตของผู้สูงอายุเสื่อมลงทำให้การขับของเสียออกจากร่างกายไม่ปกติ จึงเกิดอาการแน่น อึดอัด ความอยากอาหารลดลง นอนไม่หลับ การกินอาหารที่มีเส้นใยมากจะทำให้ลำไส้เคลื่อนไหว บีบตัว เอากากอาหารจากเส้นใยออก ผักที่มีเส้นใยสูง ช่วยลดอาการท้องผูกในผู้สูงอายุได้ “ เส้นใยอาหาร “ ไม่ใช่สารประกอบอาหารแต่เป็นสารได้จากพืชและผักทุกชนิด ซึ่งนอกจากจะไม่ถูกย่อยแล้ว เส้นใยอาหารจะทำหน้าที่ดูดน้ำ อุจจาระ จึงอ่อนตัวและถ่ายง่าย นอกจากนี้ยังช่วยลดไขมันในเส้นเลือด ช่วยให้ท้องไม่ผูก ทำให้ร่างกายไม่หมักหมมสิ่งบูดเน่าและสารพิษไว้ในร่างกาย จึงเป็นการป้องกันการเกิดมะเร็งใน ลำไส้ใหญ่ด้วย

อาหารกับโรคท้องผูก

ผู้สูงอายุที่มีอาการท้องผูกต้องดื่มน้ำให้เพียงพออย่างน้อยวันละ 6 – 8 แก้ว และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ช่วยให้ลำไส้มีการเคลื่อนไหวดีขึ้น ทำให้การขับถ่ายสม่ำเสมอและท้องไม่ผูก

อาหารสำหรับผู้สูงอายุที่ท้องผูกควรกิน

อาหารที่มี “เส้นใย“ ได้แก่ เมล็ดธัญพืชที่ขัดสีน้อย ผลไม้ทุกชนิดเช่น สับปะรด ส้มโอ ฝรั่ง มะม่วงดิบ องุ่น มะละกอ สาลี่ แอปเปิ้ล โดยเฉพาะผลไม้ที่กินได้ทั้งเปลือก ผักทุกชนิดที่มีเส้นใยสูง เช่น ถั่วฝักยาว กะหล่ำปลี ผักกาดหอมแตงกวา มะเขือเทศสด หน่อไม้ฝรั่ง ผักกวางตุ้ง ผักคะน้า

อาหารสำหรับผู้สูงอายุที่ท้องผูกไม่ควรกิน

- เนื้อสัตว์ติดมัน
- ขนมหวานต่าง ๆ เช่น ทองหยิบ ทองหยาด ฝอยทอง สังขยา เป็นต้น


                                               น้ำขิง เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ

น้ำขิง (GINGER)

ขิงจัดเป็นผักสมุนไพรที่มีรสเผ็ด แต่มีสรรพคุณทางยามากมาย นั่นคือ ช่วยให้เลือดหมุนเวียนดี บำรุงเส้นผมที่เกิดใหม่ แก้อาการท้องร่วง บรรเทาอาการหวัดและไข้หวัดใหญ่ ยับยั้งอาการอาเจียน ลดอาการวิงเวียน ช่วยขับลม ขิงสามารถลดอาการจุกเสียด ขับน้ำดี ลดการอักเสบ ลดการหลั่งกรด ต้านแบคทีเรีย ยับยั้งการไอ ช่วยบำรุงกระดูและและฟัน ช่วยต้านโรคมะเร็ง ช่วยเจริญอาหารกินข้าวได้
นอกจากนี้ขิงยังลดการจับตัวของลิ่มเลือด ช่วยย่อยอาหาร โดยเพิ่มการพลั่งน้ำดีและน้ำย่อยต่าง ๆ ด้วยการเกิดแผลในกระเพราะอาหาร

คุณค่าทางอาหารของขิง

แคลเซียม ช่วยดูดซึมวิตามินดีทำให้กระดูกแข็งแรง
เบต้าแคโรทีน ช่วยแก้กระหายน้ำ ต้านมะเร็ง การทำงานของระบบ ขับถ่ายแก้ท้องผูก บำรุงโลหิต ระบบประสาท และระบบสายตา
                                                สุดยอดอาหารที่ทำให้อารมณ์ดี

ทำให้อารมณ์เปลี่ยน ร่างกายแข็งแรง ขับถ่ายคล่อง

          เกี่ยวกับเรื่องนี้ ซูซาน มัวร์ โฆษกจากสมาคมโภชนาการของอเมริกาและที่ปรึกษาด้านสารอาหารในเซนต์ปอลได้ออกมาบอกว่า การรับประทานอาหารเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับคนเราแถมยังช่วยรักษาสมดุลของอารมณ์ได้ เพราะนอกจากอาหารจะให้พลังงานแล้ว ยังสร้างเซโรโทนิน ซึ่งเป็นเคมีในสมองที่สามารถทำให้จิตใจของคนเราสงบและเย็นขึ้นได้ ดังนั้นเมื่อคนเราเลือกอาหารที่ดี อารมณ์ของเราก็จะดีไปด้วย

          นอกจากนี้มัวร์ยัง บอกอีกว่าปัจจุบันคนหันมานิยมการรับประทาน
อาหารแบบโลว์คาร์โบไฮเดรตกันมากขึ้น เป็นเหตุทำให้มีผลทางข้างเคียงกับอารมณ์ เพราะคาร์โบไฮเดรตจะเป็นตัวสร้างเซโรโทนินให้กับร่างกาย หากร่างกายของคนเราขาดแคลนคาร์โบไฮเดรตก็จะส่งผลให้อารมณ์เปลี่ยนไปด้วย...

           ถ้าคุณอยากเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนอารมณ์ดี อาหารเหล่านี้ช่วยคุณได้

           ปลาแซลมอนและแม็กคาเรล ซึ่งปลาทั้ง 2 ประเภทนี้จะมีโอเมก้า 3 อยู่เยอะมาก ที่สำคัญมีการวิจัยมาแล้วว่าโอเมก้า 3 มีผลกับอารมณ์ของคนเรา นอกเหนือจากที่โอเมก้า 3 ช่วยป้องกันโรคหัวใจและมะเร็ง ที่ดีไปกว่านั้นแซลมอนยังเต็มไปด้วยเซเลเนียมที่เป็นสาระสำคัญในการต่อต้านอนุมูลอิสระด้วย

         ตามมาด้วย คาโนลาออยล์ (Canola Oil) น้ำมันจากดอกคาโนลาซึ่งกำลังได้รับความนิยมมาก เนื่องจากเต็มไปด้วยวิตามินอีซึ่งมีผลต่อระดับอารมณ์ของคนเรา แต่ด้วยความที่ในน้ำมันจะมีไขมัน จึงควรที่จะรับประทานไม่เกินวันละ 6 ช้อนชา หรือ 24 กรัม ซึ่งอาจจะใช้น้ำมันชนิดนี้เวลาทอดปลาแซลมอนหรือทำอาหารสุขภาพที่คุณชอบมารับประทานด้วยจะยิ่งดี

             ผักโขมและถั่วสด ซึ่งในผักใบสีเขียวเข้มอย่างผักโขมหรือถั่วนั้นมีโฟเลตสูง ช่วยให้คนเรามีอารมณ์อยู่ในระดับปกติ เนื่องจากโฟเลตมีส่วนสำคัญในการสร้างเซโรโทนิน ที่ดีไปกว่านั้นการรับประทานถั่วจะช่วยให้ร่างกาย
รับวิตามินซีและไฟเบอร์ด้วย แต่ถ้าคนที่ชอบทานถั่วแนะนำให้เลือกรับประทานถั่วสดเพราะจะมีสารอาการมากกว่า
ถั่วกระป๋อง หรืออาจจะเพิ่มผักใบเขียวไปด้วยก็ได้จะยิ่งทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่เพิ่มมากขึ้น แถมผักโขมยังสามารถช่วยแก้อักเสบ แก้ฝี แก้ผดผื่นคัน มีน้ำเหลือง และใช้เป็นยาขับปัสสาวะได้ด้วย...

               ตามมาด้วยไก่ อาหารที่มีวิตามินบี 6 อยู่ในปริมาณมาก ซึ่งไก่จะช่วยสร้างเซโรโทนินขึ้นในร่างกายของเรา และยังเป็นแหล่งของเซเลเนียม วิตามินและสารอาหารอื่นๆ ด้วย แต่การรับประทานหนังไก่เข้าไปในปริมาณมากเกินไปจะทำให้เพิ่มไขมันให้ร่างกายไม่น้อยเช่นกัน หากเลือกที่จะรับประทานไก่ ให้เลือกที่ไม่มีหนังไก่ติดมาดีกว่า...

              หากเริ่มรู้สึกว่าคนข้างๆ คุณเริ่มอารมณ์เสีย ลองเปลี่ยนเมนูมื้อต่อไปเป็น ปลาแซลมอน ปลาแม็กคาเรล คาโนลาออยล์ (Canola Oil) ผักโขม ถั่วสด และไก่ เป็นอาหารมื้อต่อไปดูสิ แล้วตัวคุณและคนข้างๆ อารมณ์ดีขึ้น ที่สำคัญเมื่อรับประทานอาหารอิ่มแล้ว อย่าลืมออกกำลังกายด้วยเสมอ เพียงแค่วันละ 30 นาที ก็พอ หากคุณทำได้ สุขภาพดี อารมณ์แจ่มใสจะอยู่กับคุณ



เมนูเพื่อสุขภาพ
                                                                ยำมะระหวาน 



รู้จัก มะระหวาน กันหรือเปล่าคะ ที่ชาวเขาเรียกกันว่า ฟักแม้วหรือฟักม้ง นั่นแหละ จะปลูกกันมากทางภาคเหนือของประเทศไทย
มะระหวานจะมีรูปร่างคล้ายๆ กับฝรั่งไร้เมล็ด ซึ่งรับประทานได้ทั้งยังดิบๆ อยู่ โดยที่ยังไม่ได้นำไปปรุงเป็นอาหารอะไรเลยนะคะ รสชาติก็จะหวาน กรอบ อร่อยมาก และเมื่อนำไปปรุงเป็นอาหารความอร่อยก็มิได้ลดน้อยถอยลงเลยสักนิด แต่ก่อนไม่นิยมนำมารับประทานเพราะเป็นผักพื้นบ้านมีรับประทานกันเฉพาะถิ่นที่มีเท่านั้น แต่ตอนมีขายหาซื้อได้ทั่วๆ ไปเลย
ส่วนใหญ่คนมักจะนำมะระหวานมาผัดกับไข่ เหมือนอย่างที่เราเอามะระจีนมาผัดกับไข่รสชาติออกไปทางเค็มและขมนิดๆ แต่ผัดมะระหวานกับไข่ รสชาติเค็ม หวานนิดๆ และไม่มีรสขมเลย อร่อยมากจริงๆ ผู้เขียนเคยลองนำมะระหวานไปผัด ไปต้ม หรือแกงก็อร่อยทุกอย่าง ส่วนด้านคุณค่าทางอาหารนั้นอยากรู้เลยลองไปค้นๆ ดู ก็พบว่ามีคุณค่าทางโภชนาการสูงมาก มีทั้งวิตามินซี แคลเซียม ฟอสฟอรัส เบต้า-แคโรทีน ดีจริงๆ ลืมคำว่า "ขมเหมือนมะระ" ไปเลย
ท่านผู้อ่านที่ไม่รับประทานมะระจีนหรือมะระขี้นกเพราะรสขม คราวนี้แหละเห็นทีจะต้องชอบแน่ๆ ไหนๆ ก็ไหนๆ สำรับไทยวันนี้ผู้เขียนขอแนะนำเมนูอาหารจากมะระหวานหรือฟักม้ง แล้วแต่จะเรียกขานกันนะคะ ที่ผู้เขียนได้รวบรวมไว้มีทั้งเมนูที่ให้ลองทำรับประทานกันทั้งดิบๆ และเมนูที่นำไปปรุงให้สุกเสียก่อน
                                                 แก้วมังกรผลไม้เพื่อสุขภาพ


แก้วมังกรเป็นผลไม้ที่มีรสชาติหวานอร่อยและมีคุณค่าทางโภชนาการสูง แคลอรี่ต่ำอุดมไปด้วยวิตามินซี แมกนีเซียมและแคลเซียม แก้วมังกรเป็นผลไม้ที่มีกากใยสูง เมล็ดสีดำเล็กๆ ที่กระจายอยู่ทั่วไปในผลแก้วมังกรจะอุดมไปด้วยไขมันที่ไม่อิ่มตัวซึ่งช่วยต่อต้านปฏิกิริยาอ๊อกซิเดชั่น แก้วมังกรจึงมีประโยชน์ต่อสุขภาพในหลายด้าน
สรรพคุณของแก้วมังกรอีกอย่างหนึ่งคือใช้เป็นผลไม้เสริมสุขภาพและความงาม ใช้บริโภคเพื่อจุดประสงค์ในการลดน้ำหนัก เนื่องจากเมื่อกินแก้วมังกรแล้วจะรู้สึกอิ่มและในผลแก้วมังกรก็มีกากใยสูงประกอบกับให้แคลอรี่ต่ำจึงนิยมใช้บริโภคเพื่อลดน้ำหนัก


แก้วมังกรเป็นพืชในตระกูลกระบองเพชรซึ่งมีสารที่มีประโยชน์คือมิวซิเลจ(Mucilage) ที่มีลักษณะคล้ายวุ้นเจลช่วยดูดซับน้ำในร่างกาย ควบคุมระดับกลูโคสในคนที่เป็นโรคเบาหวาน(ชนิดไม่พึ่งอินซูลิน)ได้ แก้วมังกรยังมีประโยชน์ในการบรรเทาโรคโลหิตจางช่วยเพิ่มธาตุเหล็กให้แก่ร่างกาย นอกจากนี้ผลแก้วมังกรยังมีสรรพคุณในการป้องกันโรคหัวใจ มะเร็งลำไส้และต่อมลูกหมาก เบาหวาน ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานของกระดูกและฟัน
แก้วมังกรเป็นผลไม้ที่มีทั้งสรรพคุณทางยา คุณค่าทางโภชนาการหากรู้จักกินเป็นอาหารรักษาโรค(เภสัชโภชนา)แล้วยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพกับความงาม(ผิวพรรณและการลดน้ำหนัก)อีกด้วย จนอาจพูดได้ว่า แก้วมังกรเป็นผลไม้เพื่อสุขภาพที่ให้ประโยชน์ต่อร่างกายเช่นเดียวกับผลไม้ชนิดอื่นๆ เช่น มะละกอ ส้ม กล้วย ฯลฯ ดังนั้นหากเรารู้จักเลือกรับประทาน "ผลไม้เพื่อสุขภาพ" ให้ถูกต้องย่อมเกิดผลดีกับร่างกายอย่างแน่นอน
แต่วิธีการกินผลไม้ที่ถูกต้องก็คล้ายกับการกินอาหารนั่นคือต้องกินให้หลากหลายจึงจะได้รับสารอาหารและประโยชน์อย่างครบถ้วน การกินผลไม้ก็มีลักษณะเช่นเดียวกัน ไม่ใช่พอรู้ว่าแก้วมังกรมีประโยชน์และดีต่อสุขภาพมากมายหลายประการแล้วก็พยายามหาและกินเฉพาะแก้วมังกรเท่านั้นผลไม้อื่นที่นอกเหนือจากแก้วมังกรแล้วไม่ยอมกินเลย ถ้าทำอย่างนี้จะไม่ได้รับประโยชน์จากการกินผลไม้ที่ถูกต้องเรียกว่า "กินไม่เป็น" ดังนั้นให้เดินทางสายกลางคือกินแต่พอดีจะดีที่สุด

วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2554



แอปเปิ้ล (APPLE)

แอปเปิ้ลให้สารอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตและวิตามินซีเป็นหลัก ซึ่งปริมาณวิตามินซีจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ ช่วงเวลาเก็บเกี่ยว และความสด เนื้อแอปเปิ้ล 100 กรัม มีวิตามินซีประมาณ 6 มิลลิกรัม และให้พลังงานราว 59 แคลอรี ไม่ทำให้อ้วน แต่แอปเปิ้ลก็มีสารอาหารที่มีประโยชน์ชนิดอื่นทดแทน แบบที่เรียกได้ว่าไม่น้อยหน้าผลไม้อื่นแต่อย่างใด
พลังงานที่ได้จากแอปเปิ้ลมีลักษณะพิเศษที่น่าสนใจคือ แอปเปิ้ลจะให้พลังงานค่อนข้างต่ำและค่อยเป็นค่อยไป เพราะแหล่งพลังงานของแอปเปิ้ลคือ น้ำตาลฟรักโทสซึ่งเป็นน้ำตาลที่เปลี่ยนรูปเป็นพลังงานอย่างช้า ๆ ในร่างกายช่วยให้ไม่รู้สึกหิว อิ่มนาน ผลที่ตามมาคือ ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ไม่สูงเร็วเหมือนกินขนมหวาน จึงเหมาะกับคนไข้เบาหวานด้วยเช่นกัน
เปลือกและเนื้อของแอปเปิ้ลมีเส้นใยอาหารที่ชื่อว่า "เพคติน" ที่ มีคุณสมบัติพองตัวได้มาก ช่วยเพิ่มกากในทางเดินอาหาร ทำให้อวัยวะในทางเดินอาหารมีการทำงานเป็นปกติ เพิ่มประสิทธิภาพในการขับถ่าย ซึ่งเป็นการช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ และยังช่วยจับคอเลสเตอรอลไม่ให้ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ป้องกันโรคคอเลสเตอรอลในเลือดสูง โรคหัวใจ และความดันโลหิตสูง
นอกจากนี้ แอปเปิ้ลยังอุดมไปด้วยวิตามิน เกลือแร่และสารอาหารที่มีประโยชน์อีกหลายชนิด ทั้งวิตามินเอ บี 1 บี 2 บี 6 ไบโอติน กรดโฟลิก กรดแพนโทเธอนิค เกลือแร่ คลอไรด์ เหล็ก ทองแดง แมกกานีส แคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม โซเดียม ซิลิคอน และยังมีกรดอินทรีย์ 2 ชนิด คือ กรดมาลิคและกรดทาร์ทาริก ซึ่งช่วยในการย่อยอาหารจำพวกโปรตีนและไขมัน สารอาหารเหล่านี้ มีประโยชน์ต่อสุขภาพในหลายด้าน โดย เฉพาะวิตามินซี และสารในกลุ่มฟลาโวนอยด์ ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่พบมากในแอปเปิ้ล จะช่วยป้องกันโรคหัวใจในผู้ที่รับประทานเป็นประจำ

วิธีทำน้ำแอปเปิ้ล

ส่วนผสม

- เนื้อแอปเปิลสุก 2 ถ้วยตวง
- น้ำเปล่า 4 ถ้วยตวง
- น้ำตาลทราย 1 ถ้วยตวง
- เกลือ 1/2 ช้อนชา

วิธีทำ

- ล้างแอปเปิลให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ
- นำเนื้อแอปเปิลผสมน้ำ ต้มให้เดือด พอเนื้อแอปเปิลเปื่อยนำมายีให้ละเอียด
- ผสมน้ำตาลทราย เกลือ คนให้ละลาย นำไปต้มอีกครั้งให้เดือด ยกลงพักให้เย็น
วิธีเสิร์ฟ : แช่ให้เย็นในตู้เย็น หรือลอยด้วยน้ำแข็ง 2 - 3 ก้อน
สรรพคุณ : แก้กระหายน้ำ บำรุงกำลัง ละลายเสมหะ ช่วยระบาย